ตอนที่ 5
ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว...ทงเฮยังคงมิอาจข่มตาหลับ...
สาเหตุเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นในอุทยาน
กลิ่นกายของร่างใหญ่ยังติดปลายจมูกของทงเฮอยู่เลยด้วยซ้ำ
แถมสัมผัสจากริมฝีปากของร่างสูงก็ยังคงทิ้งร่องรอยน่าอายไว้ประดับประดาบนเรือนกายสะคราญ
ในมือของทงเฮตอนนี้คือเสื้อลายมังกรตัวเขื่อง
สัญลักษณ์ประจำราชนิกูลแห่งโกคูรยอบ้านเมืองที่ทงเฮเติบใหญ่ขึ้นมา
อาภรณ์ชิ้นนี้มีความสำคัญนัก
แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของที่แท้จริงของมันจะไม่ค่อยสนใจมันสักเท่าไหร่
“เดี๋ยวจะพาไปคืนเจ้าของให้...”
ร่างบางกระซิบบอกเสื้อในมือของตนเบาๆ
แล้วจึงปีนออกทางหน้าต่างตรงไปยังห้องบรรทมขององค์ชายรัชทายาท
ก่อนที่ทงเฮจะมาเป็นองครักษ์ของตำหนักนี้
ร่างบางย่อมรู้เส้นทางเข้านอกออกในเป็นอย่างดี
ดังนั้นร่างระหงจึงใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็สามารถมาถึงห้องบรรทมขององค์ชายได้อย่างง่ายดาย
ด้วยเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นที่ผ่านมาทำให้คิบอมไม่สามารถข่มตาหลับเช่นกัน
ร่างแกร่งพลิกกายกระสับกระส่ายไปมาก่อนจะรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในห้องบรรทมของตน
แค่เห็นเงาของอีกฝ่ายที่ทอดกายลงมาบนพื้น
คิบอมก็จดจำได้ทันทีว่าบุคลิกเหล่านี้เป็นของใคร
บางคนอาจเห็นว่าองค์ชายรัชทายาทอย่างเขาไม่เห็นจะมีความสามารถอะไร
แต่ถ้าใครที่คลุกคลีกับองค์ชายแล้วล่ะก็...
ร้อยทั้งร้อยต้องเอ่ยปากว่าองค์ชายรัชทายาทผู้นี้นี่แหละ
ที่มีความสามารถที่สุดทั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์
แสงจันทร์ที่ทอแสงผ่านหน้าต่างกระทบกับเรือนกายสวยทำให้คิบอมรู้สึกว่าตนกำลังยลโฉมนางอัปสราจากสรวงสวรรค์
อาภรณ์ก่อนเข้านอนที่ร่างน้อยสวมใส่ช่างยั่วเย้าให้องค์ชายเจ้าเล่ห์ลุ่มหลงจนยากจะถอนตัว
จะมาให้ข่มขืนถึงที่หรืออย่างไรนะ...เจ้าแก้มย้อยคนนี้!
ร่างแกร่งถามตนเองในใจ
ก่อนจะค่อยๆสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยุบหนอพองหนอไปหลายตลบ มันคงไม่มีปัญหาหรอก
หากทงเฮแค่วางเสื้อนอกของร่างสูงไว้บนเตียงแล้วกลับออกไป แต่ที่ปัญหามันเกิดเพราะร่างบางดันหวังดีอยากสวมใส่เสื้อลายมังกรตัวนี้คืนให้เจ้าของของมันดังเดิม
“อุ๊ย!...”
ร่างหวานร้องเอ็ดตะโรก่อนจะปิดปากเงียบเมื่อดวงตาคู่สวยของตนสบเข้ากับสายตาสีรัตติกาล
วันนี้องค์ชายดูท่าจะอารมณ์ไม่ดีนัก ร่างสูงจึงได้ตีหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่บุคคลในอ้อมกอด
“รู้ทั้งรู้ว่าวันนี้ข้าทำอะไรกับเจ้าไป...เหตุใดยังกล้ามาแตะเนื้อต้องตัวข้าอีก...”
“............”
“คิดจะวัดขีดจำกัดความอดทนของข้ากระนั้นหรือ...ทงเฮ...”คิบอมเอ่ยถามก่อนสายตาสีเข้มจะหยุดลงที่กลีบเนื้อสีสวยของทงเฮอีกครั้ง
ทำเอาร่างบางขบกัดริมฝีปากของตนเอาไว้แทบไม่ทัน
ความจริงองค์ชายเองก็ไม่ได้นึกมีอารมณ์อยากทำเรื่องอย่างว่ากับทงเฮหรอก
อารมณ์เหล่านั้นมันมอดดับไปตั้งแต่เมื่อหัววันแล้ว อีกอย่างคิบอมก็ไม่ได้อยากทำให้ทงเฮต้องหวาดกลัวตนเลยสักน้อย
แต่พฤติกรรมที่กำลังปฏิบัติอยู่ในตอนนี้ร่างแกร่งก็แค่อยากแกล้งทงเฮก็เท่านั้น
“เปล่า..พะ...เอ่อ...เพคะ...”
น้ำเสียงอู้อี้ฟังแทบไม่ได้ศัพท์ทำให้คิบอมต้องก้มหน้าลงไปใกล้ๆใบหน้าหวานของอีกฝ่ายมากขึ้น
ทงเฮพยายามหันหน้าหนีแต่ด้วยร่างกายของตนอยู่ในอ้อมกอดของร่างใหญ่
แบบนี้แล้วทงเฮจะหนีไปทางใดได้กันล่ะ?
“แล้วเจ้าเข้ามาในห้องของข้าทำไม?”
“เอ่อ...”
“ว่าอย่างไรเล่า...”
ร่างแกร่งเอ่ยถามก่อนจะใช้นิ้วเรียวของตนดึงแก้มเนียนของเจ้าตัวน้อยเต็มแรงเพราะทนความหมั่นไส้ที่ก่อตัวขึ้นมาในจิตใจของตนไม่ไหว
แก้มห้อยแบบนี้ต้องดึงให้หลุดติดมือหรืออย่างไรกันนะ คิบอมถึงจะรู้สึกพอใจ
“หม่อมฉันเจ็บนะเพคะ...โอ๊ย!...เจ็บ!” ร่างบางกรีดเสียงเบาๆพร้อมตีสีหน้ายู่ยี่แสดงความไม่พอใจ ตามจริงตั้งแต่เล็กจนโตคนที่ดึงแก้มของทงเฮเล่นบ่อยๆเห็นจะมีแต่ฮูหยินลีเท่านั้น
แถมหญิงชราก็ดึงด้วยความเอ็นดู ไม่ได้ดึงเพราะความหมั่นไส้เยี่ยงนี้เลย
“ข้าอดใจมานานแล้วเรื่องแก้มย้วยของเจ้า...ทำไมมันห้อยได้ขนาดนี้นะ
น่าหมั่นไส้จริงๆ” ร่างแกร่งดึงมือของร่างเล็กที่พยายามปิดบังแก้มใสของเจ้าตัวออก
ก่อนจะดึงเนื้อนุ่มส่วนนั้นอีกหลายต่อหลายครั้งแล้วจึงปล่อยให้ร่างเล็กเป็นอิสระ
เพราะดูเหมือนว่าร่างระหงจะเริ่มสะอึกสะอื้นด้วยความเจ็บใจ
“พระองค์แกล้งหม่อมฉัน!...ฮึก...พระองค์ใจร้าย
นิสัยไม่ดี!...”มือบางทุบอกหนาทีหนึ่งอย่างอดไม่ไหว
เพราะสิ่งที่คิบอมทำลงไปมันทำให้ทงเฮอยากปล่อยโฮเสียงดังออกมาเหลือเกิน
แล้วนี่ถ้าร่างบางรู้ว่าเรื่องที่คิบอมแกล้งมันมีเยอะกว่านี้...เรื่องใหญ่กว่านี้...ทงเฮจะไม่ร้องไห้จนหยาดน้ำตาเหล่านั้นกลายเป็นแม่น้ำเชี่ยวกราดหรอกหรือ?
“ก็แก้มเจ้ามาบอกให้ข้าดึงนี่นา...”
ร่างแกร่งให้เหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้ทงเฮเจ็บใจเข้าไปใหญ่
นิ้วเรียวของร่างระหงจึงดึงแก้มนุ่มของอีกฝ่ายคืนบ้างจะได้หายกัน
“โอ๊ย!...บังอาจนัก...นี่เจ้ากล้าดึงแก้มของข้ารึ!”
“เห็นๆกันอยู่ว่าหม่อมฉันกำลังเอาคืน...พระองค์จะถามเพื่อความแน่ใจหรือเพคะ?”
เห็นทีร่างบางจะคุ้นชินกับหางเสียงแบบนี้ไปแล้ว ขนาดเวลาอยู่ด้วยกันแค่สองต่อสอง
ร่างบางยังลงท้ายด้วยคำว่า ‘เพคะ’ สร้างความน่ารักให้แก่ร่างสูงโดยไม่รู้ตัว
“นี่เจ้าย้อนข้า!”
“เพคะ!”
ร่างน้อยรับคำก่อนจะเบิกตากว้างมือมือบางทั้งสองสองของตนโดนร่างสูงรวบไว้ด้วยมือเดียว
เพราะความโมโหที่อีกฝ่ายดึงแก้มของตนเมื่อครู่
ทำให้ทงเฮกล้าต่อกรกับคิบอมโดยลืมไปเสียสนิทว่าเมื่อตอนเย็นตนเจอะเจอกับอะไรไป
จะมากลัวตอนนี้...
ทงเฮชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าตนจะสามารถเปลี่ยนใจได้ทัน...
“น้องหญิง...เจ้านี่ช่างน่าเอ็นดูเสียนี่กระไร...”
เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเย็นทำให้ทงเฮกรอกตาหลบไปอีกทาง มือกร้านอีกข้างของร่างแกร่งจึงต้องตวัดคางเล็กกลับมาที่เดิมเพื่อให้ตนสามารถมองใบหน้าหวานของอีกฝ่ายได้อย่างถนัดตา
“ต่อปากต่อคำกับข้าขนาดนี้...มิกลัวข้าบ้างหรือเจ้าตัวน้อย...”
ปลายจมูกโด่งเริ่มหาเศษหาเลยกับเนื้อกายหวานอีกครั้ง
แต่ก็ไม่ได้กระทำด้วยอาการจริงจังใดๆทั้งนั้น
เพราะคิบอมไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เฉกเช่นตอนเย็นที่ผ่านมาอีก
“ฮือ...ฝ่าบาท...”
เสียงเล็กร้องขอความเห็นใจพร้อมหยดน้ำใสคลอหน่วงที่ดวงตา
ทำอย่างไรได้เล่า
ในเมื่อตอนนี้คิบอมอยากสวมบทพระเอกคอยเช็ดน้ำตาให้กับอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน
ร่างแกร่งอยากให้ทงเฮรู้สึกถึงความอ่อนโยนที่แอบแฝงอยู่ภายใน
อยากให้ทงเฮรู้อะไรบางอย่างที่คิบอมหลบซ่อนมันเอาไว้และไม่ต้องการเอ่ยบอก
แต่อยากให้ร่างน้อยเห็นมันด้วยการกระทำ
ทีนี่ก็ขึ้นอยู่กับการอนุมานของเจ้าตัวเล็กแล้วล่ะว่า...ทงเฮจะรู้หรือเปล่าว่าสารที่คิบอมส่งให้ด้วยวิธีสัมผัสนี้...หมายความว่าอย่างไร?
“ไม่ร้องนะ...เด็กดี...” ร่างแกร่งกระซิบปลอบก่อนใช้ริมฝีปากร้อนของตนเช็ดหยดน้ำเม็ดเป้งออกจากลูกปัดสีนิล
ความอ่อนโยนที่อีกฝ่ายมอบให้ทำให้ทงเฮรู้สึกใจสั่น
ความนุ่มละมุนถักทอเป็นสายใยโอบล้อมรอบกายจนทงเฮรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
ความหวาดกลัวที่ก่อตัวขึ้นเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมาถูกพังทลายแทบไม่เหลือชิ้นดี
นี่องค์ชายท่านนี้เก่งแต่ปั่นป่วนหัวใจของทงเฮหรืออย่างไร?
“...เอ่อ...หม่อมฉัน...”
ร่างบางอึกอักเพราะไม่รู้จะเอ่ยอะไรแก้อาการเก้อเขินที่กำลังเกิดขึ้น ณ ตอนนี้อย่างไรดี
ทงเฮดันไหล่กว้างให้คิบอมให้ออกจากอาการนอนทับร่างกายของตน
และร่างแกร่งก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
“จะกลับแล้วหรือน้องหญิง...”
องค์ชายรัชทายาทสรวลยิ้ม ขณะมองเจ้าตัวน้อยปีนกลับทางเดิมโดยไม่เอ่ยวาจาอะไรสักคำ
......................................................................................................
ดูเหมือนวันนี้จะเกิดเหตุการณ์ไม่ค่อยปกติ...องครักษ์ลีและฮูหยินของตนถึงได้โดนนำตัวเข้าเฝ้าองค์ชายรัชทายาท
ณ พระตำหนักชมจันทร์
สองสามีภรรยาถูกทหารควบคุมตัวในลักษณะคุมเข้มเป็นพิเศษ
การกระทำเหล่านั้นทำให้ฮูหยินลีรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีนัก
แถมพาลนึกถึงใบหน้าลูกชายที่คงมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
ในตำหนักที่ทั้งคู่มาถึงล้อมรอบไปด้วยต้นไผ่สูงชะลูดอายุนับร้อยปี
ให้ความร่มเย็นเป็นอย่างมาก ตัวตำหนักถูกล้อมรอบด้วยแอ่งน้ำใสอีกชั้นหนึ่ง
และเพราะความสงบนี้เองที่ทำให้องค์ชายรัชทายาทคิดมอบมันเป็นของกำนัลแด่พระคู่หมั้นที่กำลังจะกลายเป็นพระชายาในทิวาราตรีนี้
พระตำหนักชมจันทร์...จึงนับเป็นเรือนหอขององค์ชายรัชทายาทและองค์หญิงเสี่ยวเผ่ยจูกำมะลอ
“ที่ข้าเรียกตัวท่านองครักษ์ลีกับฮูหยินมาในวันนี้...ก็เพราะมีเรื่องที่จะต้องบอกกล่าวพวกท่านนิดหน่อย”
องค์ชายรัชทายาทปรารภเบาๆขณะทรงพระอักษรที่ยังไม่ทันเสร็จดี
เมื่อเห็นทั้งสองนิ่งเงียบ คิบอมจึงหยุดกิจกรรมทั้งหมดก่อนเดินไปหยุดบริเวณหน้าต่างบานใหญ่ที่สามารถมองวิวทิวทัศน์ภายนอกได้ในมุมกว้าง
“...หากเอ่ยถึงต้นไผ่...ท่านทั้งสองจะนึกถึงใคร...”
“...ขอประทานอภัยพะยะค่ะ...กระหม่อมโง่เขลาเบาปัญญามิสามารถนึกคิดตามสิ่งที่พระองค์ประสงค์ได้...”
องครักษ์ลีเอ่ยเงียบๆเพราะนึกไม่ออกจริงๆ
แตกต่างจากฮูหยินลีที่สามารถบอกได้ทันทีว่าคิบอมกำลังหมายถึงใคร
“...ทงเฮหรือเพคะ...”
เสียงหวานของผู้เป็นมารดาค่อนข้างสั่นเครือ เพราะสัญชาตญาณของความเป็นแม่
บอกหญิงชราว่าทงเฮจะต้องมีเรื่องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ตนไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดนั้นมันคือเรื่องดีหรือเรื่องร้าย
“..สมแล้วที่ท่านเป็นแม่ของเจ้าแก้ม...เหอะ!...แม่ของทงเฮ...”
ร่างแกร่งแก้ไขใหม่เพราะไม่อยากให้ใครล่วงรู้ความคิดของตนมากนัก
แต่ที่ต้องพาฮูหยินลีและองครักษ์มือหนึ่งแห่งวังหลวงมาที่นี่
ก็เพราะไปเอาลูกชายเขามากินมานอนด้วย เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ต้องบอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ของฝ่ายเสียหายได้รับรู้และยอมรับกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“...เจ้าลูกมิรักดีมันทำสิ่งใดให้พระองค์มิพอใจหรือพะยะค่ะ...”
ผู้เป็นพ่อของร่างระหงเอ่ยถามด้วยความเหนื่อยใจ
แต่เมื่อเจอสายตาไม่พอใจจากหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ชายชราก็เงียบเสียงลงไปทันที
“...ทงเฮชอบต้นไผ่มาก
เขาเคยบอกข้าตอนที่ข้าอายุสิบขวบ ข้าจึงคิดว่าตำหนักของเสด็จย่าผู้ล่วงลับไปแล้วคงเหมาะสมที่จะให้นางพักอาศัยไปตลอดชีวิต...หรือพวกท่านคิดว่าอย่างไร...”
องค์ชายตรัสถามความคิดเห็นจากบุคคลทั้งสอง หากแต่ได้รับเพียงความเงียบตอบแทน
ร่างแกร่งจึงได้แต่สรวลยิ้มออกมาเบาๆแล้วขยายความต่อ
“ท่านองครักษ์...ท่านคงรู้เรื่องเสี่ยวเผ่ยจูที่หายไปจากตำหนักของข้าแล้วใช่หรือไม่...”
“พะยะค่ะ...”
“ความจริงข้าก็ไม่ได้ยี่หระเรื่องที่องค์หญิงจะไปหรือไม่ไป...มันไม่ใช่ธุระโครงการอะไรของข้าแม้แต่น้อย
แต่เพราะวันหนึ่งที่ข้ากำลังจะหลับ...กลับมีชายลึกลับโผล่หน้าเข้าไปนั่งจ้องมองข้าที่ตำหนัก...เขาบอกข้าว่า...เขาเป็นองครักษ์ของข้า”
“..........”
“ทันทีที่ข้าได้ยลโฉมหน้าของเขา...ข้าก็เกิดต้องใจขึ้นมา
แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจของข้าเรียกว่าอะไร แต่...”
“...........”
“อย่างน้อย...ทงเฮก็เป็นลูกขององครักษ์อันดับหนึ่งแห่งวังหลวง
คงมิน้อยเกินไปจริงหรือไม่?...กับตำแหน่งพระชายาขององค์ชายรัชทายาท”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น