ตอนที่ 10
หลังจากเดินทางกลับจากนายอง
ทงเฮก็ไม่ได้พบหน้าขององค์ชายรัชทายาทอีก
เจ้าตัวน้อยเหลือบสายตาแววหวานของตนมองยอดกิ่งไผ่ที่เอนไหวตามสายลม
กลิ่นบุปผาจากดอกไม้เมืองหนาวมิอาจทำให้จิตใจของทงเฮผ่อนคลายได้แม้แต่น้อย
ตำหนักแสงจันทร์ ณ ตอนนี้ช่างอ้างว้างและเงียบเหงาเสียเหลือเกิน
ทั้งที่นางกำนัลมีให้ใช้สอยไม่ขาดมือแท้ๆ
“..พระชายามีเรื่องกังวลพระทัยหรือไม่เพคะ...”
นางกำนัลใจกล้าคนหนึ่งเอ่ยถามร่างบางด้วยท่าทีพินอบพิเทา ทงเฮอมยิ้มเพียงนิด
ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
ความหนักใจของร่างระหงในตอนนี้ ถึงเอ่ยปากบอกไป
ใครจะมาเข้าใจหรือแก้ปัญหาให้ทงเฮได้...
ถ้านับจากวันนั้น...จนถึงวันนี้...นี่ก็ล่วงเข้าวันที่เจ็ดแล้ว
ที่ทงเฮไม่ได้พบหน้าคิบอมเลย ร่างบางมีเรื่องราวมากมายให้สงสัย และอยากได้ยินคำตอบจากปากของคิบอมเอง
ทงเฮไม่ต้องการได้ยินจากใครทั้งนั้น นอกจากคิบอมคนเดียว
แต่ร่างระหง...ก็ไม่สามารถหาโอกาสเจอตัวของคิบอม
ตกดึกคืนหนึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมาทงเฮพยายามจะออกไปหาร่างแกร่ง
ตำหนักแสงจันทร์แห่งนี้กลับเกิดการคุมเข้มขึ้นมาผิดปกติ แม้นทงเฮเป็นถึงองครักษ์ระดับเจ็ด
แต่นั่นก็ไม่สู้เหล่าศิษย์พี่ที่เป็นองครักษ์ระดับเก้า
ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของราชวังแห่งนี้ และเพราะองครักษ์เหล่านั้นสวมผ้าคลุมมิดชิด
ทงเฮจึงไม่รู้ว่าใครเป็นใครไว้วางใจได้มากน้อยแค่ไหน
ร่างบางจำเป็นต้องกลับมานั่งจับเจาที่ปลายเตียงด้วยความร้อนใจเช่นเดิม
เพราะตนมิอาจหมายต่อกรกับศิษย์พี่เหล่านั้นได้ แม้จะมีอาจารย์คนเดียวกันก็ตามที
เมื่อไม่สามารถระบายความอัดอั้นที่ฝังรากลึกในใจตอนนี้ได้
ทงเฮจึงเลือกที่จะออกมาจากตำหนักและเดินเล่นเรื่อยเปื่อย
ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ...แต่ขาไม่รักดีทั้งสองข้างของร่างบางก็พาจิตใจอันบอบช้ำมาหยุดลงหน้าพระตำหนักองค์ชายรัชทายาท
“จะเสด็จเข้าไปไหมเพคะ...” นางกำนัลเอ่ยถาม
ทำให้ทงเฮรู้สึกคิดหนักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
จะว่าไป...ร่างบางก็มีนิสัยเสียอย่างหนึ่งคือเป็นคนประเภทชอบคิดในทางลบไว้ก่อน
เวลาเจ็บจะได้ไม่เจ็บมากจนเกินไป ดังนั้นแม้ทงเฮจะอยากเข้าไปภายในพระตำหนักมากแค่ไหน
แต่อีกใจหนึ่งก็ร้องเตือนร่างบางว่า...วันนี้ทงเฮอาจเจอเรื่องไม่ดีหรือไม่ได้ดังใจขึ้นมาก็เป็นได้
“...ข้า...เอ่อ...”
ร่างระหงอึกอักก่อนจะได้คำตอบของปัญหาอาการหนักใจทั้งมวลที่เกิดขึ้นในจิตใจของตน
หญิงงามสะคราญที่กำลังจะเดินผ่านหน้าทำให้ร่างระหงแทบจะถวายบังคมไม่ทัน
มือบางของทงเฮสั่นระริกโดยเฉพาะยามที่หญิงสูงศักดิ์ผู้นี้หยุดยืนตรงตำแหน่งที่ทงเฮกำลังก้มศีรษะอยู่
“พระชายามิจำเป็นต้องถวายบังคมหม่อมฉันแม้แต่นิด”
เสี่ยวเผ่ยจูเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะประคับประคองร่างบางขึ้นจากพื้นด้วยความนิ่มนวล
เมื่อได้ยืนในระดับเดียวกันกับองค์หญิงผู้เลอโฉม
ทงเฮก็รู้สึกทันทีว่าตนช่างต่ำต้อยเสียเหลือเกิน
แถมตำแหน่งที่ร่างบางถืออยู่ในมือ ณ ตอนนี้มันไม่มั่นคงเสียแล้ว
เพราะเจ้าของที่แท้จริงของฐานะพระชายาคือผู้หญิงตรงหน้าต่างหาก
“มิรู้จะเป็นการรบกวนเวลาของพระชายาหรือไม่
หากหม่อมฉันจะทูลเสด็จพระชายาเข้าไปเจรจาพาทีในพระตำหนักรัชทายาท...”
องค์หญิงตรัสชวนขนาดนี้ ทงเฮผู้ต่ำต้อยจะปฏิเสธได้เยี่ยงไร ร่างบางรับคำเบาๆ
ก่อนจะเดินตามหญิงสาวเข้าไปยังตำหนักของผู้ชายอันเป็นที่รัก
แต่...ทงเฮไม่รู้ว่าตนจะเป็นที่รักของเจ้าของตำหนักบ้างหรือเปล่า?
เพราะเคยอยู่ในตำหนักนี้ร่างระหงจึงสามารถจดจำเส้นทางได้แม่นยำ
สถานที่ที่เผ่ยจูเลือกคือหอสมุดที่คิบอมเคยอนุญาตให้ทงเฮเข้าไปเล่นได้
พอเห็นพื้นที่ว่างเปล่าบริเวณที่ทงเฮเคยนอนกอดเกยกับร่างแกร่ง
ใบหน้าหวานก็หม่นลงมากกว่าเดิมเสียอีก
หญิงสาวยอมลดตัวรินน้ำชารสเลิศให้กับอดีตองครักษ์ระดับเจ็ด
ก่อนจะสรวลยิ้มเบาๆ และเอ่ยความ
“...หม่อมฉันรู้สึกเศร้าใจยิ่งนักที่ต้องรั้นตัวองค์ชายรัชทายาทเอาไว้หลายวัน
สาเหตุเพราะหม่อมฉันได้กระทำเรื่องงามหน้าเอาไว้
แต่เพราะเกิดสำนึกถึงความมั่นคงของประเทศชาติ
หม่อมฉันจึงจำเป็นต้องกลับมารับตำแหน่งในราชวงศ์โกคูรยอเช่นเดิม”
“..........”
“แต่พอกลับมาตำแหน่งที่หม่อมฉันคู่ควรจะเป็นเจ้าของ
ก็กลับกลายเป็นของผู้อื่น” ประโยคที่หญิงสาวเอ่ย ทำให้ทงเฮรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก
เวลานั้นตอนที่องค์ชายร้องขอให้ทงเฮแต่งงานด้วย
ทงเฮเองก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่า
เหตุใดตนถึงได้ใจง่ายตกปากรับคำโดยไม่คิดถึงผลเสียที่จะตามมา
ไหนจะ...ค่ำคืนนั้นที่ยอมให้ร่างแกร่งได้เชยชมร่างกายของตนเล่นอีก
สาเหตุที่ร่างระหงยินยอมทั้งสองเหตุผล
มิใช่เพียงคำว่ารัก...แต่เพราะทงเฮเองก็รู้สึกสิเน่หาในตัวขององค์ชายเช่นกัน
“...ความจริง...หม่อมฉันเพียงแค่ทำตามหน้าที่ที่องค์ชายสั่งมาเท่านั้นพะยะค่ะ...”
“..........”
“เพราะงานอภิเษกสมรสยังต้องดำเนินต่อ
ฝ่าบาทจึงได้เลือกคนต่ำต้อยเช่นกระหม่อมมารับตำแหน่ง เพื่อรอพระองค์กลับมา
ในเมื่อพระองค์กลับมาเช่นนี้ ก็นับเป็นนิมิตรหมายอันดี
และหม่อมฉัน...ก็ถึงเวลาต้องกลับไปทำหน้าที่ของตนตามเดิม...” ร่างบางเอ่ยเสียงเบา
ก่อนจะตัดสินใจแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมโดยการถวายบังคมองค์หญิง
แล้วออกจากตำหนักขององค์ชายรัชทายาททันที
โดยไม่รอฟังประโยคถัดไปที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากของเสี่ยวเผ่ยจูแม้แต่น้อย
สาเหตุที่องค์ชายไม่ยอมมาหาหม่อมฉันเลย
เพราะองค์หญิงเสี่ยวเผ่ยจูกลับมาแล้วอย่างงั้นหรือ?
ร่างบางคิดอย่างเจ็บปวดหัวใจ
เมื่อกลับมาถึงตำหนักทงเฮก็ได้แต่ขังตนเองอยู่ในห้องบรรทม
หยดน้ำตาที่ร่างระหงไม่ต้องการให้ไหล กลับเทท่าออกจากดวงตาคู่หวานมากมายขนาดที่ผู้เป็นเจ้าของไม่อาจควบคุม
เป็นไงเป็นกัน!
วันนี้ทงเฮจะไม่ยอมเป็นรองใคร
ก็ทงเฮเคยบอกแล้วไง...
ร่างระหงไม่ยอมอยู่กับใครทั้งนั้น หากมิได้เป็นที่หนึ่งแต่เพียงผู้เดียว
ความรักของทงเฮมิใช่การเสียสละ
ทงเฮต้องการความรักตอบแทน แต่ในเมื่อองค์ชายรัชทายาทมิเคยมีให้ เหตุใดทงเฮจะต้องมายอมทนอยู่ในตำหนักที่เงียบเหงาเพียงคนเดียวด้วย!
อีกอย่าง...ข้อตกลงระหว่างเขากับองค์ชาย...ก็แค่รอคอยให้องค์หญิงเสี่ยวเผ่ยจูกลับมามิใช่หรือ?
ในเมื่อตอนนี้เสี่ยวเผ่ยจูกลับมาแล้ว
ทงเฮก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาทนอยู่อย่างเดียวดาย
ร่างระหงมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้เข้าสู่ช่วงเวลาโพล้เพล้ของวัน
ช่วงนี้เหล่าองครักษ์จะเปลี่ยนกะมาเป็นช่วงกลางคืน
ในเมื่อองค์ชายรัชทายาทไม่อยากเจอทงเฮนัก
ร่างระหงจึงไม่เห็นความจำเป็นที่ตนจะต้องไปกล่าวลา
จริงอย่างที่คิบอมว่า...เพราะทงเฮมิใช่สตรีจะอยู่กินอย่างไรทงเฮก็ไม่เสียหาย
แม้แต่เป็นเครื่องรองรับความใคร่ทงเฮก็ไม่สามารถตั้งครรภ์ แม้ตอนนี้ทงเฮหายไปจริงๆ
คิบอมก็ไม่เดือนร้อนอะไร
ดีเสียอีก...เจ้าของตำแหน่งที่แท้จริงเขาจะได้กลับมารับตำแหน่งของตนโดยไม่ต้องมาจัดการปลดทงเฮออกจากตำแหน่งเสียก่อน
ร่างบางเช็ดน้ำตาออกจากดวงหน้าของตน
แล้วปีนหนีออกไปทางหน้าต่าง
แม้จะนึกหวั่นที่คนที่ตนจะต้องต่อกรด้วยอาจเป็นองครักษ์ระดับเก้า
แต่ทงเฮก็กล้าเสี่ยงที่จะปีนหลังคาออกไป
ทหารเวรยามที่เดินขบวนตราทัพเบื้องล่างทำให้ร่างระหงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
การเดินบนหลังคาอาจเป็นจุดสนใจได้ง่าย ดังนั้นทงเฮจึงเลือกที่จะปีนป่ายไปตามต้นไม้ใหญ่รอบตำหนักเสียแทน
ซึ่งหนทางนี้ร่างน้อยค่อนข้างถนัดพอสมควร
อีกไม่ไกลมากนักทงเฮก็จะสามารถปีนออกนอกกำแพงพระตำหนักชมจันทร์ได้อยู่แล้ว
แต่เพราะสิ่งที่ทงเฮหวาดกลัวที่สุดกลับพุ่งชนเข้าปะทะเต็มแรง
องครักษ์ระดับเก้าในชุดสีดำสนิททั้งตัวกระชากร่างน้อยลงจากกำแพงพระตำหนัก
จนทั้งสองคนกลิ้งหลุนๆไปตามพื้นหญ้าของอุทยาน
ทั้งที่เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้
กลับไม่มีนางกำนัลหน้าไหนเข้ามาห้ามการกระทำขององครักษ์ระดับเก้าคนนี้สักนางเดียว
นี่คนพวกนั้นจะปล่อยให้พระชายาตายคามือเจ้าองครักษ์ใจร้ายคนนี้หรืออย่างไรกันนะ
เหตุใดจึงไม่มาช่วยทงเฮบ้างเลย
ถึงทงเฮ...จะเป็นพระชายาจำแลงก็ตามเถอะ...
“มิแปลกใจบ้างหรือทงเฮ
ทั้งที่เจ้าเป็นถึงองครักษ์ระดับเจ็ด แต่เจ้าก็ไม่เคยทำอะไรข้าได้...”
เสียงทุ้มคุ้นหูขององครักษ์ระดับเก้าทำให้เจ้าตัวน้อยเบิกตากว้างทันที ร่างบางพลิกกายจากพื้นหญ้าขึ้นมามองดวงตาสีเข้มแสนคุ้นตาของร่างแกร่งด้วยความตกใจ
“...ฝ่าบาท...”
“ฮิ!...รู้ด้วยว่าเป็นข้า...”
คิบอมเอ่ยก่อนจะปลดผ้าปิดหน้าออก
เผยให้เห็นหน่อเนื้อมังกรที่นึกอุตริปลอมตัวเป็นองครักษ์ในพระตำหนักชมจันทร์มาหลายราตรี
สายตาคมของร่างแกร่งทั้งดุดันทั้งน่ากลัว
จนอารมณ์โกรธของเจ้าร่างน้อยถูกแทนที่ด้วยความกลัวจำนวนหนึ่ง
“...พระองค์ปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้นะเพคะ!”
เสียงหวานร้องอย่างไม่ค่อยนิ่มนวลนัก และการกระทำนั้นทำให้คิบอมหน้าตึงไปในทันที
ปกติทงเฮจะเสียงหวานพูดจานุ่มนวลเสมอ แต่การไม่เจอกันเพียงเจ็ดวัน ร่างระหงสามารถเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
แต่...จะใช้คำว่าไม่เจอหน้ากันตลอดเจ็ดวันก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว
คิบอมเจอหน้าของทงเฮเสมอ
เมื่อเขาอยู่ในคราบขององครักษ์ระดับเก้า...เขาเห็น...ทุกสีหน้ากังวลใจ
สีหน้าร้อนใจ สีหน้าร้องไห้ของเจ้าร่างน้อยคนนี้ และถึงเขาอยากที่จะปลอบประโลมทงเฮมากแค่ไหน
แต่เพราะท่านป้าสั่งหนักหนาว่าเจ็ดวันนี้ห้ามแตะต้องทงเฮ
อย่างนั้นแล้วจะให้คิบอมทำอย่างไรได้
“ปล่อยเจ้า เจ้าก็หนีข้าไปน่ะสิ!...เจ้าจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นนะทงเฮ
เจ้าเป็นเมียของข้า”
“ไม่ใช่สักหน่อย หม่อมฉันมิใช่เมียใครทั้งนั้น หม่อมฉันก็คือตัวของหม่อมฉันเอง
พระองค์อย่ามาเหมารวมนะเพคะ”
“ทงเฮ!...” ร่างแกร่งเสียงดังราวคำราม
ทำเอาเจ้าร่างน้อยถึงกับห่อตัวลงด้วยความหวาดกลัว แต่ถึงอย่างนั้น
ร่างระหงก็ยังคงพยายามจะเป็นอิสระจากอ้อมแขนแกร่งนี่ให้ได้ คิบอมจึงต้องฉุดกระชากเจ้าร่างน้อยเข้ามาในตำหนักชมจันทร์
เพื่อไม่ให้ร่างระหงสามารถหนีไปไหนได้อีก
เหล่านางกำนัลน้อยใหญ่ที่เต็มไปด้วยความมึนงง
รีบถอยฉากออกจากตำหนักโดยไม่ต้องให้ร่างแกร่งเอ่ยสั่ง
เห็นทีการวิวาทครั้งนี้จะมิใช่เรื่องน้อยเสียแล้ว
“ฮึก!...อย่ามารั้งตัวของหม่อมฉัน
ปล่อย!...คนบ้า...ฮือๆๆ พระองค์ทรงเอาแต่พระทัยตัวเอง
หม่อมฉันมิใช่ของเล่นใคร จะฆ่าหม่อมฉันก็ย่อมได้
แต่อย่ามาหยามศักดิ์ศรีของหม่อมฉัน”
ร่างระหงแหกปากใส่พร้อมกำมือแน่นทุบลงบนอกแกร่งเต็มแรงหลายต่อหลายที
ถึงอย่างนั้นคิบอมก็ไม่ได้นึกเจ็บอะไรมากมายหรอก แต่ถ้าไม่รวบมือบางทั้งสองข้างเอาไว้
เห็นทีวันนี้เขาและทงเฮก็คงคุยกันไม่รู้เรื่อง
“ข้าหยามศักดิ์ศรีเจ้าเมื่อไหร่
เจ้าแต่งงานกับข้า ข้าก็ยกหน้าชูตาเจ้า”
“แต่พระองค์ไม่มาหาหม่อมฉัน!
ใช่สิ...องค์หญิงเสี่ยวเผ่ยจูกลับมาแล้วนิเพคะ
หน้าที่ของหม่อมฉันที่ตกลงกับพระองค์ไว้ถือว่าจบสิ้น หม่อมฉันทำตามหน้า...โอ๊ย!..” ร่างระหงร้องลั่นเมื่อร่างสูงกระแทกร่างบางลงกับตั่งตัวเล็กเต็มแรง
ยังไม่ทันคลายอาการมึนงง
คางเล็กของทงเฮก็ถูกมือกร้านบีบตวัดให้ใบหน้าหวานเชิดตัวขึ้นประจันหน้ากับดวงตาสีดำขลับ
“...ไม่มาหามิใช่ไม่มีมูล
เพราะเจ้าไปทำพิธีขอบุตร ข้าผู้เป็นสามีแตะเจ้ามิได้แม้แต่ปลายเส้นผมตลอดเจ็ดราตรี
ข้าอยากให้ลูกของข้าเกิดจากเจ้าแค่คนเดียว แต่เจ้ากลับคิดเห็นเป็นอื่น
ส่วนเรื่องเสี่ยวเผ่ยจูนั้นข้าจำต้องยกตำแหน่งพระสนมให้นาง เพราะเรื่องทางการเมือง
แม้นางจะหนีไปกับชายขับรถม้า แต่นางก็เป็นองค์หญิงมาก่อน ดังนั้นนางจึงได้พักพระตำหนักเดียวกับข้าจนกว่าตำหนักของนางจะแล้วเสร็จ...”
“..........”
“ถึงอย่างนั้นยามค่ำคืนข้าก็มิได้อยู่ในตำหนักรัชทายาทแม้แต่อึกใจ...ตำหนักที่ข้าฝากใจไว้บังเอิญมันอยู่ในที่แห่งนี้จึงได้ปลอมตัวเป็นองครักษ์ของพระตำหนัก
...และข้าก็แทบสิ้นสติเมื่อใจที่ข้าฝากไว้คิดจะหนีข้าไป...”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น