ตอนที่ 3
ถึงท่านแม่...ข้ารู้ว่าข้ามิใช่เด็กดีอะไรนัก
ตั้งแต่เด็กแล้วข้ามักทำให้ท่านแม่หนักใจ
การตัดสินใจในครั้งนี้ของข้าก็คงทำให้ท่านแม่เสียใจไม่น้อยเช่นกัน
แต่...ไม่นานหรอก...
ข้าจะกลับมาหาท่านแม่ดังเดิม
ฝากขอโทษท่านพ่อด้วย ลีทงเฮ...
เป็นข้อความที่กระชับตามวิสัยของลีทงเฮ
บุตรชายของหญิงชราที่กำลังถือกระดาษอยู่ในมือ ทงเฮเป็นแบบนี้ตั้งแต่เล็ก
ทำอะไรไม่ค่อยเป็นที่เข้าใจของคนทั่วไปนัก ร่างบางชอบมีลับลมคมใน
แต่ความจริงมันไม่ได้มีอะไรในก่อไผ่เลยแม้แต่น้อย ฮูหยินประจำตระกูลได้แต่มองหน้าสามีของตนเองด้วยความกังวลใจ
“คงไปติดสาวที่ไหน...”
ท่านองครักษ์ลีพูดด้วยท่าทีไม่จริงจังนัก เพราะไม่อยากให้ภรรยาของตนต้องเป็นกังวล
ความจริงท่านลีเองก็นึกโกรธลูกชายของตนอยู่เหมือนกัน
แต่ในเมื่อทงเฮคิดจะไปถึงขนาดทิ้งการทิ้งงานนั่นก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ทงเฮตัดสินใจกระทำในเวลานี้คงมีความสำคัญกับทงเฮไม่น้อยเลยทีเดียว
“ทงเฮไม่เห็นจะเคยชอบพอลูกสาวบ้านไหนเลยนะเจ้าคะ...”
หญิงชราเอ่ยกับสามีของตนเองด้วยความลำบากใจ
“ท่านพี่ก็เห็น...นอกจากเวลางานที่ต้องเข้าวังไปเป็นองครักษ์แล้ว
ทงเฮก็ไม่ไปที่อื่นนอกจากอยู่จวนช่วยข้าทำงานบ้าน”
“ฮูหยิน...ทงเฮมิใช่เด็กเล็กแล้วนะ...มันก็คงจะออกไปหาเศษหาเลยเหมือนเพื่อนๆบ้าง
ดีเสียอีก...เราจะได้อุ้มหลานเสียที”
ท่านลีอมยิ้มขำก่อนจะพาร่างบางของฮูหยินออกจากห้องนอนของลูกชายเพียงคนเดียว
......................................................................................................
แสงทิวากระหวัดขึ้นฟ้าทำให้เจ้าตัวน้อยที่นอนหลับไม่ทันเต็มตื่นฟื้นคืนจากนิทราด้วยความรวดเร็ว
ทั้งที่ทงเฮเป็นคนตื่นเช้าแต่ดูเหมือนว่าเจ้าของตำหนักที่ตนมาพักอาศัยจะตื่นเช้ากว่า
ร่างบางค่อยๆลุกจากเตียงขึ้นมาช้าๆก่อนที่สายตาคู่หวานจะเหลือบไปเห็นเสื้อผ้ากองหนึ่งกับกระดาษบันทึกเล็กๆที่วางทับอยู่บนเสื้อผ้ากองนั้น
นิ้วเรียวสวยหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน
ในนั้นมีข้อความที่องค์ชายเล็กทิ้งไว้ให้ทงเฮปฏิบัติตาม
เริ่มต้นด้วยการอาบน้ำโดยใช้เครื่องหอมตามแบบฉบับสาวชาววังตลอดจนเสื้อผ้าเนื้อดีที่ค่อนข้างเผยเนื้อหนังมังสาเพื่อให้เป็นที่งามตาขององค์ชายรัชทายาท
ตบท้ายด้วยผ้าปิดใบหน้าเพื่ออำพรางความจริงจากสายตาของทุกคน
เพราะร่างแกร่งเกรงว่าจะมีคนรู้ความลับเรื่องที่เผ่ยจูในตำหนักของเขาเป็นตัวปลอม
องค์ชายจึงออกคำสั่งไม่ให้คนรับใช้เข้าไปในห้องบรรทมขององค์หญิงเผ่ยจูขณะที่องค์หญิงยังประทับอยู่ในห้องเด็ดขาด
ทำให้ทงเฮยังพอมีเวลาเป็นของตนเองบ้างนิดหน่อย
แต่แล้วปัญหาก็เกิดเมื่อเอี๊ยมตัวน้อยที่อยู่ในมือของร่างระหง ณ
ตอนนี้กำลังสร้างความลำบากใจให้ทงเฮเป็นกำลัง
จะใส่อย่างไรได้...
สรุปว่าอาภรณ์ภายนอกทงเฮไม่มีปัญหา
เพราะเลียนแบบการแต่งกายของราชวงศ์ชั้นสูงได้ แต่เจ้าเสื้อชั้นในตัวจ้อยนี่สิ
มันต้องใส่แบบไหน ผูกเชือกอย่างไร...
แล้วถ้าไม่ใส่...พวกนางกำนัลที่ต้องเข้ามาทำความสะอาดจะมองทงเฮว่าเป็นองค์หญิงประเภทใดถึงไม่ยอมใส่เสื้อชั้นในก่อนเดินออกจากห้องบรรทม!
ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่เจ้าสิ่งนี้กำลังทำให้ทงเฮกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ร่างบางหยิบยกมันขึ้นมาดูครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนจะพยายามสวมใส่มัน
เนื้อผ้าเย็นวาบที่สัมผัสแผ่นอกเล็กทำให้ร่างบางต้องขบกัดริมฝีปากเพราะความไม่เคยชิน
ปลุกปล้ำกันนานพอสมควรสุดท้ายทงเฮก็สามารถวางมันบนเรือนกายตนเองได้อย่างเหมาะสมแม้จะรู้สึกแปลกๆและเคอะเขินอยู่บ้าง
แต่มันก็ดีกว่าวางเอี๊ยมเจ้าปัญหานี้ทิ้งไว้ให้นางกำนัลเอาไปนินทาตนเล่นอย่างสนุกปาก
“ฝ่าบาทเสด็จกลับมาเสวยกระยาหารเช้าพอดีเลยเพคะ...”
นางกำนัลที่รอรับใช้อยู่หน้าห้องโค้งตัวลงต่ำเพื่อรายงานความเป็นไปให้ร่างบางฟัง
พอเจอคนอื่นมากราบมาไหว้แบบนี้ทงเฮก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่
ร่างระหงพยักหน้าส่งๆและเดินกลับเข้าห้องดังเดิม
หากแต่นางกำนัลคนดังกล่าวกลับเอ่ยถามเสียงหลงด้วยความตกใจ
“องค์หญิงจะเสด็จไปไหนเพคะ...พระองค์ต้องเสด็จไปเสวยกระยาหารกับฝ่าบาทนะเพคะ...”
“ขะ...เอ่อ...เราต้องไป...ด้วยหรือ?”
ทงเฮเอ่ยถามอย่างมึนงง
ด้วยไม่เข้าใจพิธีรีตองหรือจารีตประเพณีของเหล่าหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์
พอร่างบางเห็นใบหน้าสวยของนางกำนัลตีสีหน้างงงวยกลับมา
ทงเฮจึงเล่นตามน้ำเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายสงสัยพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของทงเฮ
“องค์หญิงยังทรงประชวรอยู่หรือไม่เพคะ...หม่อมฉันจะได้ไปรายงานฝ่าบาทว่าพระองค์มีพระอาการกำเริบ”
พระอาการกำเริบอย่างงั้นหรือ?...
ทงเฮนึกขำกับเหตุผลเจ็บป่วยไม่รู้สาเหตุ
เพราะองค์หญิงเสี่ยวเผ่ยจูหายไป
องค์ชายรัชทายาทจึงต้องกุเรื่องขึ้นมาว่าพระคู่หมั้นของตนกำลังป่วยหนักไม่สามารถออกจากห้องไปไหนมาไหนได้เป็นเวลาหลายราตรี
“สบายดี...เราจะไป...”
ร่างบางก้มหน้าลงต่ำตามนิสัยก่อนจะเดินตรงไปยังห้องบรรทมของร่างแกร่ง
พอทงเฮมาถึงองค์ชายรัชทายาทก็เคลื่อนย้ายร่างกายของตนนั่งลงกับตั่งเตี้ยที่ใช้วางสารพัดกระยาหาร
“มานั่งข้างกายข้าสิน้องหญิง...”
ร่างสูงรู้ดีว่าองครักษ์หนุ่มผู้นี้ไม่ค่อยรู้ธรรมเนียมของหญิงสาวชาววังมากนัก
จึงเอ่ยปากเป็นการแนะให้ร่างบางสามารถทำตัวได้ถูก
แต่เพราะชายเสื้อรุ่มร่ามทำให้ร่างระหงล้มหน้าคะมำลงบนอกแกร่งเต็มแรง
พอทงเฮเงยหน้าขึ้นมาความทรงจำสมัยเด็กก็พรั่งพรูเข้ามาในสมองจนใบหน้าหวานแดงก่ำราวลูกตำลึงสุกพร้อมที่จะปลิดขั้วออกจากกิ่ง
“...น้องหญิงซุ่มซ่ามจริง...”
เสียงกระซิบพร้อมมือร้อนของร่างแกร่งโอบรัดร่างน้อยจนเนื้อกายแนบชิดสนิทกัน
ใบหน้าคมของร่างสูงคงความเรียบเฉย หากแต่ใบหน้าหวานของเจ้าร่างน้อยนี่สิ...
แดงจนไม่รู้จะแดงอย่างไร
“ขอบพระทัย...เพคะ...” หางเสียงที่ทงเฮเอ่ยสร้างความไม่คุ้นเคยให้กับตนเองอยู่บ้าง
แต่อย่างน้อยก็ไม่เป็นที่ผิดสังเกตต่อเหล่านางกำนัลที่นั่งคอยปรนนิบัติรับใช้ผู้เป็นนาย
ด้วยค้างอยู่ในอ้อมอกขององค์ชายคนดีมาเป็นเวลานาน ทงเฮจึงออกแรงดิ้นนิดๆเพื่อเป็นสัญญาณให้องค์ชายปล่อยตนให้เป็นอิสระ
แต่แล้วผ้าปิดหน้าที่ร่างบางสวมใส่อยู่ก็ทำให้ทงเฮค่อนข้างจะกินข้าวลำบาก
คนที่เป็นองค์ชายรัชทายาทอย่างเขาจะปล่อยให้ว่าที่พระคู่หมั้นทนลำบากแบบนี้ได้อย่างไร
“ทุกคนก้มหน้าลงให้หมด...” องค์ชายเอ่ยเสียงเข้ม
ก่อนจะดึงรัดเจ้าร่างน้อยเข้ามานั่งใกล้มือของตนอีกครั้ง
นิ้วเรียวของร่างสูงดึงรั้นผ้าปิดปากของเจ้าตัวน้อยออกเผยให้เห็นใบหน้าหวานยามต้องแสงทิวา
ไม่ว่าจะยามกลางวันหรือยามกลางคืน...เจ้าร่างระหงคนนี้ก็สวยหวานไม่แตกต่างกันเลยจริงๆ...
ร่างสูงคิดพลางอมยิ้มออกมาเบาๆ
ยิ่งเจ้าตัวน้อยในน้ำมือของตนก้มหน้างุดลงมากเท่าไหร่ องค์ชายยิ่งอยากแกล้งมากขึ้นเท่านั้น
“หลบหน้าข้าทำไมรึ...น้องหญิง...”
เจ้าของนิ้วเรียวจับคางเล็กด้วยความทะนุถนอมก่อนจะโอบกอดเจ้าร่างน้อยเข้ามาอยู่ในอ้อมอกเพราะอยากกลั่นแกล้งอีกฝ่ายให้ได้อาย
แต่แล้วกลิ่นกายที่หอมฟุ้งจากเจ้าร่างระหงกลับทำให้คนเจ้าเล่ห์อย่างเขากลายเป็นฝ่ายอดใจแทบไม่ไหวเสียแทน
“หม่อมฉันเปล่า...”
ร่างบางปฏิเสธทั้งที่ลูกแก้วแสนหวานกรอกหลบสายตาสีรัตติกาลไปทางนู่นทีทางนี้ที
กระทั่งทงเฮสัมผัสได้ถึงอุ่นไอร้อนจากริมฝีปากของอีกฝ่ายบริเวณปรงเนียนของตน
ร่างระหงจึงยอมสบตาเข้ากับองค์ชายรัชทายาทเพราะความตกใจ
สีดำเกือบสนิทของดวงตาที่ทงเฮกำลังจ้องมองอยู่ทำให้ร่างบางรู้สึกตัวร้อนราวกับไฟ
ยิ่งจ้องลึกลงไปมองเท่าไหร่ เรือนกายของทงเฮยิ่งระอุจนไม่อาจหาญจะหายใจหายคอ
“ไม่หายใจเดี๋ยวก็ตายหรอก...” ร่างสูงกระซิบข้างใบหูเล็กก่อนที่ริมฝีปากร้อนของตนจะสัมผัสแก้มเนียนเรื่อด้วยความไม่ตั้งใจ
ทงเฮนึกอยากตีคนตรงหน้านักที่มาป่วนหัวใจของทงเฮเล่น แต่พอเหลือบสายตาไปมองใบหน้าคมคราใด
ร่างบางก็มักจะเห็นเพียงความเรียบเฉยบนใบหน้าขององค์ชายอยู่ทุกที
นี่แสดงว่าองค์ชายรัชทายาทคงจะทำกับผู้อื่นเป็นปกติ
ถึงได้ทำกับทงเฮได้โดยไม่มีท่าทีขัดเขินแบบนี้
ทงเฮคิดอย่างเจ็บปวดใจจนพลอยทำให้สายตาสีหวานทอแสงเศร้าสร้อย
สร้างความงุดงงให้กับผู้กระทำเป็นกำลัง
“เป็นอะไร”
“หม่อมฉันหิว..” ร่างบางเอ่ยคำตอบอย่างโป้ปด แต่นั่นก็ทำให้องค์ชายรัชทายาทยอมปล่อยทงเฮให้เป็นอิสระ
ถึงกระนั้นสายตาคมของหน่อเนื้อมังกรก็ไม่อาจละออกจากเรือนร่างหวานได้สักอึกใจ
“หิวก็กินเยอะๆ
เจ้าจะได้ดูมีน้ำมีนวลกว่านี้อีกหน่อย...”
ร่างแกร่งอมยิ้มขณะหยิบเนื้อวัวหมักเกลือชั้นดีให้แก่ร่างบาง
“ขอบพระทัยเพคะ...องค์ชาย...”
“องค์ชายอะไรกันล่ะ?...”
ร่างแกร่งขึ้นเสียงสูงเป็นเชิงถาม ทำให้ทงเฮได้แต่ตีสีหน้างุดงง
“มิรู้จักชื่อจริงของข้าหรอกหรือน้องหญิง”
“......”
“เรียกข้าว่าท่านพี่คิบอมสิ...”
......................................................................................................
ชื่อนั้นมีความสำคัญฉะไหน?...
ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทมานี้
ก็ไม่มีใครหน้าไหนเอ่ยปากเรียกเขาว่าองค์ชายคิบอมสักคน นานมากถึงขนาดทำให้คิบอมในสมัยเด็กเข้าอุทยานไปยืนหลังต้นไม้ใหญ่แล้วแนะนำชื่อของตนให้เหล่าพฤกษาได้รับฟัง
‘ข้าชื่อคิบอม...’
ต้นไม้สูงใหญ่ไหวเอนตามลมราวกับรับฟังสิ่งที่คิบอมบอก
แต่ความจริงสาเหตุของการไหวเอนในครั้งนี้เนื่องมาจากเจ้าร่างน้อยของใครบางคนกำลังปีนป่ายต้นไม้ที่คิบอมกำลังพูดคุยอยู่ด้วยต่างหาก
พอองค์ชายเห็นว่าเจ้าเด็กดื้อคนนี้ปีนเก่งเสียเหลือเกิน
เขาจึงเอ่ยทีเล่นทีจริงให้เด็กคนนั้นหยิบไข่นกในรังออกมาเพื่อเอาไปต้มกิน
“ปีนเก่งแบบนี้ก็ขึ้นไปเอาไข่นกมาต้มกินด้วยกันสิ...” คิบอมเอ่ยพร้อมมองเจ้าร่างเล็กด้วยความขบขันที่พยายามทำตามคำสั่งของเขา แต่ความขันเหล่านั้นก็จางหายไปเมื่อเจ้าเด็กดื้อดันปล่อยมือจากกิ่งไม้จนตัวเองร่วงจากต้นไม้ใหญ่ลงมาพื้นเบื้องล่างด้วยความรวดเร็ว
เพราะความรู้สึกผิดที่ตนยุยงเด็กคนนี้ให้ขึ้นไปปีนเอาไข่นกลงมากิน
คิบอมจึงเอาตัวเข้าไปรองรับเจ้าตัวน้อย เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเจ็บตัว
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?...” หน่อเนื้อมังกรเอ่ยถามทั้งที่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กไม่น่าจะมีบาดแผลอะไรแม้แต่น้อย
คนที่ได้รับความเจ็บปวดน่าจะเป็นตัวของคิบอมมากกว่า
“ว่าอย่างไรเล่า...เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?...”
เพราะเจ้าตัวเล็กมัวแต่ตกตะลึง คิบอมจึงต้องเอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง
ทำให้เด็กดื้อคนนี้ตื่นจากภวังค์
“มะ...ไม่...พะยะค่ะ...”
ริมฝีปากสีทับทิมที่ขยับตอบทำให้คิบอมเบาใจไปเปราะหนึ่ง
จนเผลอเปรยออกมาด้วยความโล่งใจ
“...ดีแล้วล่ะ...”
“แล้วองค์ชายเป็นอย่างไร...อ๊ะ...”
น้ำเสียงตกใจของเจ้าตัวเล็กพร้อมท่าทีกระวีกระวาดเข้ามาสัมผัสมือของคิบอม
ทำให้องค์ชายรัชทายาทรู้ตัวว่าตนได้รับบาดเจ็บ อีกฝ่ายใช้ชายเสื้อเนื้อดีประคบฝ่ามือของเขาโดยไม่กลัวเสื้อผ้าเนื้อดีเหล่านั้นจะเปรอะเปื้อนเลือดสีแดงฉานแม้แต่น้อย
คิบอมมองเด็กชายอย่างเพลินตา
กระทั่งได้ยินเสียงสะอื้นจากปากของเด็กชายจอมซนนั่นแหละ
องค์ชายรัชทายาทจึงตีสีหน้างุดงงใจ
“..ฮึก...สะ...สามร้อยยี่สิบห้าคน...ฮือๆๆๆ...ต่อไปข้าจะไม่ได้ปีนต้นไม้เล่น...ฮึก...ไม่ได้...ไปเล่นบ้านสวน...”
“...สามร้อยยี่สิบห้าคนคืออะไร”
“หม่อมฉันทำพระองค์เสียโลหิต...ถ้าประหารเก้าชั่วโคตรรวมทั้งหมด...ฮึก..กะ...ก็...สามร้อย..ยี่สิบห้า...”
สิ้นเสียงของร่างเล็ก องค์ชายรัชทายาทก็อดที่จะสรวลยิ้มออกมาไม่ได้
แต่เพราะกลัวว่าเหล่านางกำนัลจะได้ยินเสียงที่อีกฝ่ายเอ่ย
คิบอมจึงพาเด็กชายไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่เพื่ออำพรางกายจากสายตาของผู้คน
ก่อนจะหันหน้าไปเอ่ยคำพูดเพื่อเป็นการกลั่นแกล้งเจ้าตัวน้อย
“คนของตระกูลเจ้าเยอะขนาดนี้เชี่ยวหรือนี่
แบบนี้เราจะเลือกประหารใครก่อนดีล่ะ...”
“ฮึก...ฮือๆๆๆ...อย่านะพะยะค่ะ...อย่านะ...จะทำอะไรหม่อมฉันก็ได้
แต่อย่าประหารใครในตระกูลลีเลยนะพะยะค่ะ...ฮึก...จะเอาหม่อมฉันไปต้มยำทำแกงหรือว่าจะเอาไว้เป็นข้ารับใช้ประจำพระองค์ก็ได้
แต่อย่าสั่งประหารใครเถอะนะพะยะค่ะ...ฮึก...องค์ชาย..”
“รู้ล่ะๆ...เราไม่ประหารใครก็ได้”
“จริงนะพะยะค่ะ”
“จริงสิ...เราตรัสคำไหนย่อมเป็นคำนั้นอยู่แล้ว...แต่มีข้อแม้นะ...”
คิบอมยื่นข้อเสนอขณะมองพวงแก้มอิ่มด้วยความพอใจ
แก้มป่องขนาดนี้น่าดึงให้ห้อยนัก!
“...อะไรรึพะยะค่ะ...” เจ้าตัวเล็กเอ่ยถามพร้อมยื่นแก้มเนียนของตนเข้ามาใกล้คนขี้แกล้งอย่างไม่รู้ตัว
ตอนนี้คิบอมรู้สึกคันไม้คันมือจนไม่รู้จะทำอย่างไร
แต่...จะไปดึงแก้มคนอื่นเอาดื้อๆ
เห็นที่อีกฝ่ายคงจะไม่พอใจเป็นแน่ ทำอย่างไรดีนะ...คิบอมถึงจะสามารถแตะต้องร่างกายนี้โดยที่อีกฝ่ายไม่มีสิทธิ์ขัดขืน
“...เจ้าเป็นหนี้ชีวิตของเรา...”
“.........”
“สิ่งที่เจ้าต้องทำ...ก็คือการรักตัวเอง
อย่าทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงเฉกเช่นเมื่อครู่อีก”
“..........”
“เพราะลมหายใจที่เจ้าใช้อยู่ในตอนนี้รวมถึงร่างกายของเจ้า...ถือเป็นของเราทั้งหมด”
หลังตรัสเสร็จมือป้อมขององค์ชายรัชทายาทก็คว้าหมับเข้าที่พวงแก้มสีอิ่มทันที
ความทรงจำสมัยเด็กที่พรั่งพรูเข้ามาในสมองทำให้ร่างแกร่งอมยิ้มจนเมื่อยปาก
พลางเหลือบสายตาไปมองเจ้าร่างน้อยที่เผลอหลับไปคากองหนังสือที่กำลังอ่าน ด้วยกลัวว่าทงเฮจะเบื่อช่วงที่คิบอมไม่อยู่
ร่างสูงจึงอนุญาตให้ร่างระหงสามารถเดินทางเข้าออกหอหนังสือในตำหนักรัชทายาทได้ตามอำเภอใจ
แม้ทฤษฎีโลกกลมที่โดดดังในฝั่งตะวันออกจะยังไม่ค่อยแน่ชัดนัก
แต่คิบอมก็ชักจะคล้อยตามทฤษฎีนี้ขึ้นมาบ้างเสียแล้ว
ก็ถ้าโลกไม่กลม...คิบอมจะได้กลับมาเจอเจ้าแก้มนุ่มนิ่มคนนี้อีกกระนั้นหรือ?
เพียงได้เห็นหน้าของอีกฝ่ายร่างแกร่งก็จดจำทงเฮได้ทันที
ทั้งนึกคันไม้คันมืออยากแกล้งร่างระหงให้ได้อายอย่างไม่รู้เบื่อแถมยังออกกลอุบายสดๆร้อนๆพร้อมการแสดงละครตบตาอีกนิดหน่อยเพื่อเกี่ยวรัดเจ้าร่างน้อยมาเป็นของตน
กับคนอื่นคิบอมไม่เห็นจะเกิดความรู้สึกอยากแกล้งอยากหยอก แต่กับร่างน้อยคนนี้...
ยากนัก...ที่คิบอมจะสามารถหักห้ามใจ
เพราะทงเฮที่มีลมหายใจและมีองค์ชายรัชทายาทเป็นเจ้าของ
คือทงเฮคนนี้คนเดียวไม่ผิดอย่างแน่นอน
เสี่ยวเผ่ยจูจะหนีไปกับชายคนไหนคิบอมก็ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนด้วยสักหน่อย
แม้จะตามกลับคืนมาได้
ถึงกระนั้นตัวของนางก็ถือว่ามีราคีไม่เหมาะสมกับทายาทเลือดมังกรอย่างเขาอีกต่อไป
หากตามหาตัวเจอและพากลับมา...ก็มาเพื่อรับโทษเท่านั้น...
ถ้าทงเฮนึกถึงจุดนี้ได้ล่ะก็...ร่างระหงคงรู้สึกตัวว่าตนช่างโง่เขลานัก
ที่มาโดนองค์ชายรัชทายาทหลอกเข้าเต็มรักซะได้!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น