วิวาห์กระหวัดรัก [yaoi : kihae] ตอนที่ 1




ตอนที่ 1

ยามถึงปลายวสันต์...สายลมอ่อนของลมหนาวมักต้องกิ่งไผ่ในจวนดอกเหมยให้โอนเอน ปลายฝนต้นหนาวเยี่ยงนี้ข้ารับใช้ทั้งหลายต่างกีดกันไม่ให้คุณหนูของตนออกมาวิ่งเล่นภายนอกเพราะกลัวไข้หวัดจะถามหา หนึ่งในคุณหนูตัวน้อยเหล่านั้นจึงได้แต่เมี่ยงมองกิ่งไผ่พลิ้วไหวอย่างเบื่อหน่ายเพราะไม่มีอะไรจะทำ มองแล้วมองเล่าและคงมองต่อไป หากเสียงเปิดบานประตูไม่ดังเข้ามากระทบโสตประสาทเจ้าของห้องเข้าเสียก่อน

“...ทงเฮ...” ผู้เป็นมารดาเอ่ยเรียกบุตรชายของตนด้วยความรักใคร่ เมื่อเจ้าของชื่อได้ยินแม่เรียก เด็กชายก็เดินเนืองๆเข้าไปหาแม่ของตนทันที

“...ท่านแม่...ข้าเบื่อแล้ว...อยากออกไปเล่นข้างนอก...” เมื่อสบโอกาสน้ำเสียงแววหวานของทงเฮก็เอ่ยอ้อนมารดาทันที

“ออกไปเล่นไม่ได้...วันนี้เจ้าต้องไปถวายพระพรองค์องค์รัชทายาทที่จะเสด็จเยี่ยมเหล่าประสพนิกร ขอให้เทพเบื้องบนรักษาพระองค์ให้มีพระวรกายแข็งแรง...เราจะได้อยู่กันอย่างร่มเย็นอย่างไรเล่า” ฮูหยินของตระกูลลีผู้เป็นมารดาของเด็กชายเอ่ยด้วยความอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มเมตตา ทงเฮหน้าบูดมากขึ้นเพราะนอกจากจะไม่ได้ออกไปเล่นข้างนอกให้หายอยากแล้ว ร่างบางยังต้องไปทนนั่งคุกเข่าท่ามกลางลมหนาวเพียงเพื่อจะกล่าวสดุดีองค์รัชทายาทผู้เป็นหน่อเนื้อแห่งราชวงศ์ไม่กี่ข้อความ!

ตามจริงหากเด็กๆไม่ไปใครเขาจะมาว่า...แต่ทงเฮไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เพราะตนเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวขององครักษ์ลี มือปราบชั้นแนวหน้าที่ได้รับความไว้พระทัยจากจักรพรรดิองค์ปัจจุบันโดยตรง ลองไม่ไปดูสิ! ท่านพ่อของทงเฮต้องโดนหลายฝ่ายโจมตีเป็นแน่

เจ้าเด็กชายขี้เบื่อจำต้องแต่งองค์ทรงเครื่องเสียยกใหญ่เพื่อไม่ให้น้อยหน้าบุตรชายและบุตรสาวของผู้ใดที่มาร่วมถวายพระพร

หลังรอฤกษ์ดี ยามบ่ายแก่ถือเป็นเวลาสมควรที่สุดแล้วที่ตระกูลลีจะเดินทางออกจากจวนไปยังพระราชวัง ปกติทงเฮเป็นคนแก้มป่องมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งวันนี้ร่างเล็กทำหน้าบูดมากเท่าไหร่แก้มนิ่มของทงเฮยิ่งป่องมากเท่านั้น ฮูหยินลีจึงดึงแก้มเนียนมือของลูกชายให้ห้อยลงมากกว่าเดิมด้วยความหมั่นไส้ในการกระทำของลูกชาย

“ท่านแม่!...” เจ้าเด็กดื้อร้องเรียกมารดาของตนเสียงดังด้วยความไม่พอใจ แต่มีหรือที่ฮูหยินลีจะนึกโกรธลูกชายของตน หญิงสาวลูบศีรษะของทงเฮด้วยความรักพร้อมอมยิ้มด้วยความอ่อนโยน

“...อย่าทำหน้าแบบนี้สิทงเฮ...เวลาเจ้ายิ้ม...เจ้าน่ารักกว่านี้ไม่รู้กี่เท่า...” ผู้เป็นแม่ประคองแก้มแดงของลูกชายก่อนจะตบเบาๆ พอเงยหน้าขึ้นสามีของนางก็ตามมาสมทบ

“...อีกไม่นานฝ่าบาทก็จะเสด็จกลับตำหนักรัชทายาทหลังจากการไปเยี่ยมเยียนหมูประชาราษฎรแล้ว” องครักษ์ลีเอ่ยเสียงเรียบตามวิสัยแต่นั่นก็สามารถทำให้ลีทงเฮถึงกลับก้มหน้างุดได้เป็นอย่างดี

ก็...ท่านพ่อน่ะ...ตีเจ็บจะตาย...ถ้ารู้ว่าทงเฮไม่พอใจที่จะต้องมาร่วมงานถวายพระพรในวันนี้แล้วล่ะก็...

ทงเฮคงจะโดนโบยจนไม่สามารถลุกออกไปวิ่งเล่นที่ใดได้เลยอย่างแน่นอน

......................................................................................................

ตำหนักรัชทายาทเป็นเขตที่คุมเข้มที่สุดรองลงมาจากตำหนักขององค์จักรพรรดิ ผู้ครอบครองตำแหน่งรัชทายาทนี้มีสิทธ์มีเสียงออกคำสั่งเทียบเท่าฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ในขณะเดียวกัน หากใครคิดทำร้ายผู้ครองตำแหน่งนี้มันผู้นั้นก็ต้องรับโทษเทียบเท่าการคิดร้ายกับองค์จักรพรรดิ

เพราะวาสนามิสามารถแข่งกันได้ เจ้าของตำแหน่งดังกล่าวจึงเป็นเด็กชายอายุไม่ทันครบสิบขวบดีด้วยซ้ำไป ใช่ว่าองค์ฮ่องเต้ไม่มีพระโอรสที่อายุมากกว่านี้ แต่สาเหตุที่ต้องเป็นเด็กชายคนนี้เพียงเท่านั้นก็เพราะคนที่จะเป็นรัชทายาทต้องเกิดจากครรภ์ขององค์จักรพรรดินีและต้องเป็นลูกชายคนแรกเพียงเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์มีเสียงโดยสมบูรณ์

“ขอพระองค์ทรงมีพระชนมานุหมื่นปี...หมื่นๆปี...”

“โห...หมื่นปีเชียวหรือท่านองครักษ์...ข้าขอแค่แปดสิบปีก็พอ...”

“...ฝ่าบาททรงมีอารมณ์ขันยิ่งนักพะยะค่ะ...” องครักษ์ผู้จงรักษ์ภักดีเอ่ยชมด้วยความจริงใจ บุคคลที่อยู่ในพื้นที่ตามยกยิ้มด้วยความเอ็นดูองค์รัชทายาทด้วยกันทั้งนั้น เห็นทีจะมีแต่เจ้าตัวเล็กทงเฮนี่แหละที่ไม่ยอมส่งเสียงใดนอกจากทำหน้าบูดหน้าบึ้ง เพราะอยากกลับบ้านไปนอนเร็วๆ

“ถ้าเป็นข้า...ข้าจะขอสักร้อยปี...” ทงเฮพึมพำก่อนจะโดนมือของมารดาตีหลังเข้าให้เพื่อเป็นการตักเตือนให้ระวังคำพูด บุคคลที่อยู่ตรงหน้าหาใช่เพื่อนเล่นของทงเฮไม่ ดังนั้นร่างเล็กมิสมควรอย่างยิ่งที่จะเอ่ยอะไรตามใจปาก

“แม่จะฟ้องท่านพ่อ...” ฮูหยินลีเอ่ยคำพูดที่สามารถทำให้ร่างบางหน้าบึ้งมากกว่าเดิม ทงเฮก้มหน้าลงต่ำเพราะน้ำตาเริ่มปริ่มๆจะหยดแหล่มิหยดแหล่อยู่แล้ว ด้วยความไม่ชอบใจกับสิ่งที่กำลังกระทำอยู่ ณ เวลานี้

ก็เพราะเจ้าองค์ชายรัชทายาทมุกห่วยนั่นแหละที่ทำให้ทงเฮโดนท่านแม่ดุแบบนี้!

เจ้าตัวเล็กนึกด่าเด็กผู้ชายอายุมากกว่าที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ทองด้วยความไม่พอใจ ดูเหมือนท่านพ่อของทงเฮก็ชักจะเริ่มตะขิดตะขวงใจขึ้นมาบ้างแล้ว ชายสูงวัยจึงส่งสายตาเย็นๆมาทางบุตรชายเพื่อให้เจ้าตัวเล็กอยู่ในอาการสำรวม

หลังพิธีร่วมถวายพระพรองค์ชายรัชทายาทเสร็จสิ้น เหล่าเด็กเล็กที่เป็นลูกขุนมูลนายก็โดนจับกลุ่มมานั่งจุ่มปุกอยู่ด้วยกัน บางคนที่รู้จักกันอยู่แล้วก็จะเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนานเป็นการฆ่าเวลาขณะรอพ่อแม่ของตนพูดคุยธุระประปัง ส่วนคนที่ไม่รู้จักมักจี่ใครเลยอย่างเด็กน้อยทงเฮก็ต้องเล่นอยู่คนเดียว เพราะไม่รู้จะไปเข้ากลุ่มกับใคร

ท่านพ่อและท่านแม่ของเจ้าตัวน้อยกำลังคุยธุระกับเสนาโจวอย่างออกอรรถรส และทงเฮเองก็ได้รับการศึกษามาดีพอที่จะไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กชายมองออกไปนอกตำหนักซ้ำแล้วซ้ำเล่า รอเวลาที่พ่อและแม่ของตนเผลอจึงวิ่งเข้าไปเล่นในอุทยาน ทงเฮชอบธรรมชาติและมีความฝันที่จะออกท่องโลกกว้างไปกับคนรู้ใจ

ต้นไม้สูงใหญ่กว่าที่จวนของทงเฮไม่รู้กี่เท่าทำให้ร่างเล็กนึกคันไม้คันมืออยากปีนอยากป่ายเสียให้ได้ เจ้าเด็กดื้อมองซ้ายมองขวาหาผู้ใหญ่หรือนางกำนัลแต่ก็ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นสักคน ทงเฮจึงเริ่มปีนป่ายขึ้นต้นไม้สูงด้วยความคึกคะนอง กิ่งก้านสาขาของต้นไม้หูกวางที่ร่างน้อยกำลังปีนอยู่นี้ช่วยทำให้จิตใจของทงเฮผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก และมีความคิดที่จะอ้อนขอท่านพ่อให้หาต้นไม้ต้นใหญ่ๆแบบนี้ไปปลูกหน้าห้องนอนของตน เผื่อวันไหนทงเฮอยากปีนเล่นอีก จะได้ปีนเลยทันทีไม่ต้องวิ่งโร่ไปเล่นที่บ้านสวนของซองมินซึ่งเป็นญาติผู้น้องของตน

“ปีนเก่งแบบนี้ก็ขึ้นไปเอาไข่นกมาต้มกินด้วยกันสิ...” เสียงปริศนาที่ทงเฮได้ยิน ทำให้เด็กน้อยมองหารังนกตามเสียงนั้นและเจอมันอยู่ไม่ห่างจากมือของทงเฮเท่าไหร่ ร่างน้อยยื่นมือสั้นๆป้อมๆของตนจนสุดแต่ก็ไม่สามารถไขว่คว้ารังนกนั้นมาอยู่ในมือได้ ด้วยความประมาทและไม่ทันยั้งคิด ร่างน้อยจึงปล่อยมืออีกข้างจากกิ่งไม้เพราะหวังอยากได้รังนกมาอยู่ในมือ ทำให้ทงเฮร่วงลงไปสู่พื้นเบื้องล่างด้วยความรวดเร็ว เจ้าตัวเล็กกรีดร้องลั่นพร้อมหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว

ตุ้บ!

ทงเฮแอบคิดว่าตนจะต้องกระดูกหักแหลกลานไปทั้งตัวเป็นแน่ แต่เพราะร่างเล็กตกลงมาแล้วไม่เกิดความเจ็บปวดใดมากไม่กว่ารอยถลอกนิดหน่อยทำให้ทงเฮเกิดความสงสัย ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมา ตอนนี้ตนกำลังนั่งอยู่บนร่างของใครบางคนที่ขนาดตัวไม่ได้ใหญ่ไปกว่าทงเฮสักเท่าไหร่เพียงแต่...

เสื้อผ้าแบบนี้...ทรงผมแบบนี้...หน้าตาแบบนี้...

“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?...” สายตาห่วงใยที่อีกฝ่ายมอบให้ทำให้ทงเฮถึงกับก้มหน้างุดตามวิสัยแทบไม่ทัน ร่างเล็กรีบลงจากร่างขององค์ชายรัชทายาทพร้อมก้มหน้าก้มตาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปมองร่างกายเปื้อนดินของคนตรงหน้า

“ว่าอย่างไรเล่า...เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?...”

“มะ...ไม่...พะยะค่ะ...” ทงเฮรู้สึกเคอะเขินอยู่บ้าง เมื่อต้องใช้หางเสียงเลียนแบบบิดาเมื่อตอนอยู่ในตำหนักขณะถวายพระพรองค์ชาย แต่หากไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมา ไม่แคล้วร่างบางจะต้องโดนอีกฝ่ายคอยถามคำถามเดิมๆ

“...ดีแล้วล่ะ...” เสียงอ่อนโยนที่อีกฝ่ายใช้ทำให้ทงเฮรู้สึกดีอย่างประหลาด และนึกด่าตนเองที่แสดงกิริยาไม่ดีเมื่อครู่ตอนอยู่ในตำหนักใส่องค์ชายคนนี้ แต่จะให้ย้อนเวลากลับไปแก้ไข ทงเฮคงทำไม่ได้ แต่ถ้าให้แก้ตัว...ก็ค่อยว่าไปอย่าง

“แล้วองค์ชายเป็นอย่างไร...อ๊ะ...” ทงเฮร้องเสียงหลงเมื่อเห็นมือขององค์ชายมีเลือดสีแดงสดกำลังไหลรินไม่ขาด ร่างน้อยรีบกุลีกุจอประคองมือเล็กนั้นราวสิ่งของล้ำค่า พร้อมใช้ชายเสื้อเนื้อดีของตนซับเลือดเหล่านั้นโดยไม่เสียดายของเลยแม้แต่นิดเดียว

การทำให้องค์ชายรัชทายาทห้อเลือดรับโทษโดยการประหารเก้าชั่วโคตร...แล้วนี่...ทงเฮทำให้องค์ชายเลือดออก แบบนี้ตระกูลลีมิหายออกจากแผ่นดินในราชวงศ์โกคูรยอหรอกหรือ!

เมื่อทงเฮคิดถึงจุดๆนี้แล้ว น้ำตาก็ปริ่มจะไหลออกมาให้ได้ แม้ไม่มีความสามารถด้านตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์มากนัก แต่ตอนนี้ร่างบางก็กำลังบวกลบคูณหารจำนวนคนในตระกูลลีและญาติพี่น้องทั้งหมดที่ตนพอรู้จักจนคิ้วเล็กผูกขมวดเป็นปนแน่นน่าเอ็นดูในสายตาขององค์ชายรัชทายาทเสียเหลือเกิน

“..ฮึก...สะ...สามร้อยยี่สิบห้าคน...ฮือๆๆๆ...ต่อไปข้าจะไม่ได้ปีนต้นไม้เล่น...ฮึก...ไม่ได้...ไปเล่นบ้านสวน...”

“...สามร้อยยี่สิบห้าคนคืออะไร” องค์ชายรัชทายาทถามด้วยความงุดงง ก่อนจะสรวลยิ้ม เมื่อได้ยินคำตอบจากริมฝีปากสีแดงอิ่ม

“หม่อมฉันทำพระองค์เสียโลหิต...ถ้าประหารเก้าชั่วโคตรรวมทั้งหมด...ฮึก..กะ...ก็...สามร้อย..ยี่สิบห้า...” ปลายเสียงหวานค่อนข้างสั่นเครือก่อนจะปล่อยโฮดังลั่นมากกว่าเดิม จนองค์ชายแสนดีต้องดึงมือเล็กของเจ้าตัวน้อยไปซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้สูง เพราะองค์ชายไม่ต้องการให้ใครได้ยินหรือมาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา

“คนของตระกูลเจ้าเยอะขนาดนี้เชี่ยวหรือนี่ แบบนี้เราจะเลือกประหารใครก่อนดีล่ะ...” เห็นท่าน่าสนุก ได้ทีองค์ชายก็กลั่นแกล้งเจ้าตัวน้อยทันที เป็นดังที่คาดเอาไว้จริงๆเพราะสิ้นเสียงขององค์ชาย เจ้าตัวน้อยก็คำนับอีกฝ่ายจนศีรษะแทบจะกระแทกกับพื้นเพื่อทูลขอความเห็นใจ

“ฮึก...ฮือๆๆๆ...อย่านะพะยะค่ะ...อย่านะ...จะทำอะไรหม่อมฉันก็ได้ แต่อย่าประหารใครในตระกูลลีเลยนะพะยะค่ะ...ฮึก...จะเอาหม่อมฉันไปต้มยำทำแกงหรือว่าจะเอาไว้เป็นข้ารับใช้ประจำพระองค์ก็ได้ แต่อย่าสั่งประหารใครเถอะนะพะยะค่ะ...ฮึก...องค์ชาย..”

“รู้ล่ะๆ...เราไม่ประหารใครก็ได้”

“จริงนะพะยะค่ะ” ร่างเล็กเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ ก่อนที่จะโดนองค์ชายดึงรั้งให้นั่งลงบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่

“จริงสิ...เราตรัสคำไหนย่อมเป็นคำนั้นอยู่แล้ว...แต่มีข้อแม้นะ...”

“...อะไรรึพะยะค่ะ...” ร่างบางเอ่ยถามพร้อมยื่นใบหน้าหวานเข้าไปใกล้ผู้เป็นองค์ชาย อีกฝ่ายสรวลยิ้มอ่อนโยนอีกครั้งก่อนจะกระซิบเบาๆ ราวสายลมต้องกลีบดอกเบญจมาศพันธุ์ดี

“...เจ้าเป็นหนี้ชีวิตของเรา...”

“.........”

“สิ่งที่เจ้าต้องทำ...ก็คือการรักตัวเอง อย่าทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงเฉกเช่นเมื่อครู่อีก”

“..........”

“เพราะลมหายใจที่เจ้าใช้อยู่ในตอนนี้รวมถึงร่างกายของเจ้า...ถือเป็นของเราทั้งหมด”




1 ความคิดเห็น: