วิวาห์กระหวัดรัก [yaoi : kihae] ตอนที่ 2




ตอนที่ 2

ม่านราตรีกาลที่แผ่คลุมไปทั้งผืนนภากว้างเหมาะแก่การซ่อนเร้นกายจากสายตาของเหล่าทหารยามได้เป็นอย่างดี องครักษ์ผู้ทำงานเบื้องหลังเริ่มปฏิบัติงานโดยไปประจำการตามตำหนักที่ตนได้รับมอบหมายให้ไปดูแลและปกป้องผู้เป็นนาย องครักษ์เหล่านี้ประพฤติพฤติกรรมไม่ต่างอะไรไปจากโจรป่า แต่เพื่อความปลอดภัยของนายเหนือหัว เหล่าองครักษ์จึงต้องลงมือ

องครักษ์นายหนึ่งรอดเร้นกายเข้าไปยังตำหนักขององค์ชายรัชทายาทด้วยความระแวดระวังแม้จะอดตื่นเต้นไม่ได้ เนื่องด้วยนี่นับเป็นงานใหญ่ชิ้นแรกที่ตนได้ลงมือปฏิบัติ ความอ่อนพลิ้วของเรือนร่างทำให้องครักษ์หนุ่มสามารถหลบซ่อนเข้าไปใต้เตียงบรรทมของผู้เป็นนายได้เป็นอย่างดี การหายใจที่ถูกฝึกฝนให้หายใจอย่างเงียบกริบทำให้บุคคลดังกล่าวแทบไม่มีเสียงหอบจากกิจกรรมเมื่อครู่ออกมาเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าการลับลอบเข้ามาในตำหนักแห่งนี้จะเสียพลังงานไปมากก็ตาม

สายตาคมของผู้เป็นองครักษ์มองตามปลายเท้าขององค์เหนือหัวที่เดินไปทางนู่นทีทางนี้ทีราวคนกำลังใช้ความคิดด้วยความชื่นชม กระทั่งน้ำหนักตัวของเจ้าของห้องกดทับลงมาบนฟูกนอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รอยยิ้มบางจึงจุดประกายขึ้นมาบนใบหน้าของเขาทันที ด้วยความที่เป็นคนที่มีร่างกายบอบบาง องครักษ์คนนี้จึงสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างเงียบกริบและสามารถเข้าถึงตัวขององค์ชายรัชทายาทได้โดยไม่ยากเย็นนัก

นิ้วเรียวสวยราวกลีบประทุมอาจเอื้อมหมายต้องแตะใบหน้าคม แต่ก็ต้องยับยั้งช่างใจเนื่องด้วยบุคคลตรงหน้ามิใช้คนที่สามารถแตะเนื้อต้องกายได้ตามใจชอบ ร่างบางค่อยๆนั่งลงที่พื้นเพื่อนั่งมองใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นรัชทายาทแห่งราชวงศ์ด้วยความหลงใหล

ลมหายใจปกติที่ร่างบางได้ยินทำให้แน่ใจว่าองค์ชายคนดีของตนน่าจะเข้าสู่ช่วงนินทารมณ์ไปแล้ว ร่างระหงยื่นมือออกมาอีกครั้งด้วยอยากแตะสัมผัสรอยแผลเป็นเล็กๆที่อยู่บนมือกร้านขององค์ชายเพราะวาดหวังอยากให้อีกฝ่ายหายดี แต่เพียงแค่นิ้วเรียวสัมผัสโดนเนื้อหนังมังสาของผู้เป็นนาย กายน้อยขององครักษ์หนุ่มก็ถูกตวัดขึ้นไปนอนเบื้องล่างด้วยน้ำมือขององค์ชายรัชทายาท

“เจ้าเป็นใคร!” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความเหยียบเย็น ก่อนนิ้วเรียวจะดึงผ้าปิดหน้าขององครักษ์หนุ่มออก เผยให้เห็นดวงหน้าหมดจดยามต้องแสงจันทร์ ลูกแก้วกลมโตที่อีกฝ่ายใช้ไปยังมององค์ชายรัชทายาทเต็มไปด้วยความตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร!

“หม่อมฉัน...คือองครักษ์ของพระองค์พะยะค่ะ” สิ้นเสียงหวานร่างสูงก็ปล่อยเจ้าร่างระหงให้เป็นอิสระทันที องค์ชายรัชทายาทเดินไปปิดผ้าม่านให้มิดชิด ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองบุคคลที่แอบอ้างตนว่าเป็นองครักษ์ด้วยสายตาระแวดระวังภัย

“เป็นองครักษ์แล้วเหตุใดต้องมาจ้องมองข้า ตอนที่ข้ากำลังนอนด้วย...บังอาจยิ่งนัก!” พอร่างใหญ่ขึ้นเสียงสูงเข้าหน่อย ร่างระหงที่รับฟังอยู่ก็ก้มหน้างุดลงทันที แม้เวลาจะเปลี่ยนไปนานแค่ไหน นิสัยเฉพาะตัวก็ยังคงติดตามร่างระหงไปทุกเมื่อเชื่อวัน

“ขอพระราชทานอภัยพะยะค่ะ...ทีหลังหม่อมฉันจะระวังให้มากกว่านี้”

“เจ้าคิดว่าจะมีครั้งหลังสำหรับเจ้าอีกหรือ...” ร่างสูงเอ่ยถามก่อนจะหย่อนกายลงนั่งบนเตียงหลังใหญ่ เป็นผลให้ร่างบางรีบนั่งลงกับพื้นทันที เพราะตนรู้ดีว่าหากยังปักหลักยืนอยู่ก็จะเป็นการยืนค้ำหัวผู้เป็นนาย การกระทำนั้นอาจจะทำให้ร่างระหงตกที่นั่งลำบากมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ได้

 “เจ้าชื่ออะไร...”

“หม่อมฉันชื่อลีทงเฮพะยะค่ะ...” เมื่อได้ยินอีกฝ่ายถาม ทงเฮก็รีบตอบชื่อของตนออกไปทันที และแอบคาดหวังลึกๆให้องค์ชายรัชทายาทจดจำตนครั้งสมัยยังเด็กได้บ้าง แต่พอเห็นสีหน้าเรียบเฉยขององค์ชาย ทงเฮจึงได้แต่ตีสีหน้านิ่งเช่นเคย

“ลีทงเฮอย่างงั้นรึ?...เกี่ยวข้องอะไรกับองครักษ์ลีล่ะ?...ลูกชาย?...หรือ”

“..........”

“ลูกสาว...” ร่างแกร่งเอ่ยถามไปอย่างนั้นทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าร่างบางตรงหน้าย่อมเป็นบุรุษเพศอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นจะเป็นองครักษ์ได้อย่างไร แต่ที่ถามออกไปแบบนั้นก็เพราะองค์ชายรัชทายาทเห็นว่าร่างระหงตรงหน้าช่างมีใบหน้าแววหวานยิ่งกว่าหญิงสาวบางคนที่ร่างแกร่งเคยพบเห็น แถมช่วงตัวของอีกฝ่ายก็อยู่ในลักษณะทรงแบบบางควรค่าแก่การทะนุถนอมมากว่ามาจับดาบจับปืน

“ลูกชายพะยะค่ะ...” ร่างบางตอบเสียงเรียบขณะก้มหน้างุดลงต่ำเช่นเคย ทำให้ตนไม่ทันเห็นสายตาที่อีกฝ่ายใช้มองมา องค์ชายคนดีกำลังสอดส่องสายตาสังเกตเรือนร่างของทงเฮแทบทุกสัดส่วน พอถึงบริเวณที่ไม่สามารถสำรวจเพราะมีเสื้อผ้าบดบัง ร่างแกร่งก็สั่งให้ร่างบางลุกขึ้นยืนทันที

“ลุกขึ้นแล้วถอดเสื้อผ้าของเจ้าออกให้หมด...”

“อะไรนะพะยะค่ะ...” ร่างบางร้องเสียงดังด้วยความไม่จำยอม จนองค์ชายต้องลุกขึ้นมาปิดปากร่างเล็กเอาไว้เพราะกลัวข้าราชบริพารภายนอกจะได้ยินสิ่งที่ทงเฮพูดออกไปเมื่อครู่ ร่างแกร่งยัดทงเฮเข้าไปนอนใต้ผ้าห่มก่อนจะตีสีหน้านิ่งเป็นเชิงคำถามกับนางกำนัลที่เปิดประตูห้องบรรทมเข้ามาด้วยเกรงว่าองค์เหนือหัวของตนจะตกอยู่ในอันตราย

“หม่อมฉันได้ยินเสียงผิดปกติเพคะ”

“เหรอ...แล้ว...มีอะไรผิดปกติในตำหนักของข้าหรือเปล่า...”

“เปล่าเพคะ...”

“เปล่าก็ออกไป...ข้าต้องการพักผ่อน...” ร่างสูงตัดพ้อก่อนที่นางกำนัลจะถอยฉากออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อคืนความเป็นส่วนตัวให้กับผู้เป็นนาย สิ้นเสียงนางกำนัลปิดประตูร่างสูงก็พาทงเฮออกมาจากก้อนผ้าห่มที่ตนยัดร่างบางใส่เข้าไปในนั้นทันที

“อะ...ถอดเสื้อผ้าของเจ้าออก...นี่คือคำสั่ง...” ร่างสูงเอ่ยอีกครั้งก่อนที่คำตอบจะเป็นเช่นเดิม ร่างบางนิ่งเฉยซ้ำเอาแต่ก้มหน้างุดส่งผลให้ร่างแกร่งรู้สึกขัดใจยิ่งนักจนอยากเรียกตัวทหารยามที่อยู่ภายนอกเข้ามาจับมัดเจ้าองครักษ์อวดดีคนนี้ไปโบยสักสามสิบไม้ แต่เพราะแผนการที่ตนเพิ่งคิดได้สดๆร้อนๆเมื่อครู่อาจเสียหาย องค์ชายรัชทายาทจึงจำเป็นต้องเป็นผู้ลงมือเสียเอง

“อย่านะพะยะค่ะฝ่าบาท...จะทำแบบนี้ไม่ได้นะพะยะค่ะ...อีกไม่ถึงสามราตรีพระองค์ก็ต้องเข้าอภิเษกสมรมกับองค์หญิงเผ่ยจูแล้วนะพะยะค่ะ...ฝ่าบาท!

“ทรวดทรงองค์เอวใช้ได้...น่าจะ...ใช้ได้...” ร่างแกร่งพูดกับตนเองโดยไม่สนใจเสียงลูกแมวร้องแง๊วๆให้ปล่อยร่างบางของตนให้เป็นอิสระแม้แต่นิด มือกร้านข้างหนึ่งที่โอบรอบเอวบางส่วนอีกข้างหนึ่งประคองคางเล็กเพื่อให้ลูกปัดสีนิลสบเข้ากับดวงตาสีรัตติกาล ส่งผลให้ร่างบางหยุดส่งเสียงร้องในทันที

ใกล้ขนาดนี้...ทงเฮยังไม่เคยได้ใกล้บุคคลที่ตนหลงรักขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ...

“เจ้าอยากเป็นเจ้าสาวของข้าหรือไม่?...”

“พะยะค่ะ?...”

“เจ้าสาวของข้า...เจ้าตกลงจะรับตำแหน่งพระชายาของข้าหรือเปล่า...”

“เอ๊ะ?...”

“เจ้าพร้อม...จะนอนกลางดิน...กินกลางทราย...มีสุขร่วมสุขมีทุกข์ร่วมต้านกับข้าหรือเปล่า...” สายตาคมที่เต็มไปด้วยความแน่วแน่ทำให้ร่างบางใจอ่อนอย่างอดไม่ได้ แม้องค์ชายจะมาในมาดบังคับขู่เข็นทงเฮก็ยินยอมพร้อมใจจะทำให้อีกฝ่ายทุกอย่าง หากนั่นเป็นความประสงค์ขององค์ชาย...

อ่อ...เว้นเรื่องแก้ผ้าเรื่องหนึ่งน่ะที่ทงเฮไม่ยอมทำให้ จนองค์ชายต้องลุกขึ้นมาแก้ผ้าของทงเฮเองกับมือ

“...พร้อมพะยะค่ะ...จะให้หม่อมฉันเป็นอะไร..หม่อมฉันจะเป็นทุกอย่าง...” เสียงหวานที่เอ่ยตอบอย่างคล้อยตามทำให้ร่างแกร่งถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ปัญหาที่องค์ชายรัชทายาทขบคิดมาตลอดสองวันนี้คือเรื่องการหาเจ้าสาวที่เหมาะสมและไว้ใจได้มาเป็นตัวแทนของเสี่ยวเผ่ยจู...สาวงามจากแคว้นหวูผู้หนีตามชายขับรถม้าไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งทางแคว้นหวูให้สัญญาว่าจะตามตัวธิดาของตนกลับมาคืนให้ ระหว่างนี้ขอให้องค์ชายรัชทายาทหาคนอื่นมาเป็นพระชายาหน้าม้าไปก่อน จนกว่าจะตามหาตัวขององค์หญิงเผ่ยจูเจอ

“ค่อยยังชั่ว...สุดท้ายข้าก็ได้ตัวเจ้าสาวกำมะลอเสียที...” สิ้นเสียงถอนหายใจของร่างสูง ทงเฮก็ฟื้นตื่นขึ้นจากภวังค์วิมานสวรรค์ของตนทันที

คำว่าเจ้าสาวกำมะลอหมายความว่าอย่างไรกันนะ? ที่พระองค์ขอให้หม่อมฉันเป็นเจ้าสาว...มิใช่เพราะพระองค์ต้องใจหม่อมฉันแต่แรกเห็นหรอกรึพะยะค่ะ...

ร่างบางตีสีหน้างงงวย และยิ่งงงหนักเข้าไปอีกเมื่อเจอท่าทีโล่งอกโล่งใจเป็นล้นพ้นของร่างแกร่ง เมื่อความสงสัยรุมล้อมมากๆเข้า ทงเฮก็ชักทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากถามไป

“...พระองค์...หมายความว่าอย่างไรพะยะค่ะ...เจ้าสาวกำมะลอ?...”

“...เจ้าเองก็รู้จักองค์หญิงเผ่ยจูมิใช่หรือ?...ตอนนี้องค์หญิงเผ่ยจูหนีตามชายขับรถม้าไป สาเหตุที่เจ้าไม่รู้เรื่องนี้ก็เพราะนี่ถือเป็นเรื่องลับสุดยอด แต่ที่ข้าเล่าให้เจ้าฟังเพราะเจ้าตกลงจะเป็นเจ้าสาวกำมะลอแทนเสี่ยวเผ่ยจูแล้วอย่างไรเล่า”

“นี่ฝ่าบาทหมายความว่าจะใช้หม่อมฉันเป็นตัวแทนขององค์หญิงเผ่ยจูกระทั่งหาตัวองค์หญิงกลับคืนมาได้อย่างนั้นหรือพะยะค่ะ” ร่างบางถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ และได้รับรอยยิ้มยินดีจากร่างแกร่งทันที เพราะทงเฮเข้าใจความต้องของการขององค์ชายรัชทายาทได้อย่างตรงจุด

“ที่ข้าใช้ตัวเจ้าก็เพราะคนที่จะมาเป็นองครักษ์ของราชวงศ์ได้ จะต้องเป็นคนเชื่อใจได้ และอีกสาเหตุหนึ่ง...” น้ำเสียงที่ขาดหายไปทำให้ก้อนเนื้อสีแดงสดบริเวณอกข้างซ้ายของทงเฮเต้นถี่รัว และอวัยวะชนิดนี้ยิ่งเต้นรัวมากขึ้นเมื่อองค์ชายรัชทายาทกอดรอบเอวบางพร้อมดึงรัดร่างเล็กของทงเฮเข้าหาอ้อมกอดของตนเองจนเจ้าร่างระหงปะทะกับอกแกร่งอย่างจัง

“เพราะเจ้าเป็นบุรุษ...จะอย่างไรเจ้าก็ไม่เสียหายหากต้องอยู่กินกับข้าตลอดระยะเวลาที่ตามหาเสี่ยวเผ่ยจู” คำพูดเนิบๆขององค์ชายกรีดลึกลงบนหัวใจดวงน้อยของทงเฮทันที หากมิใช่เพราะร่างกายนี้เป็นขององค์ชายแล้วล่ะก็...ทงเฮคงร้องปฏิเสธหัวชนฝ่าเลยทีเดียว

และหากมิใช่เพราะหัวใจเจ้ากรรมดวงนี้เป็นขององค์ชายตั้งแต่แรก มีหรือที่ทงเฮจะยอมตกลงเป็นเจ้าสาวของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย

ลองให้องค์ชายไปถามผู้อื่นดูสิ...ใครเล่าจะยอมมาเป็นเจ้าสาวกำมะลออย่างง่ายดายขนาดนี้

จะโทษใครหากไม่โทษหัวใจตนเอง...

“หลังสิ้นงานข้าจะตอบแทนให้เจ้าอย่างงามเลยทีเดียว เจ้าสาวกำมะลอของข้า...” รอยยิ้มที่ทงเฮเห็นว่าอ่อนโยนเสมอมา ตอนนี้ร่างบางกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ช่างร้ายกาจกับตนเสียเหลือเกิน

พระองค์จะรู้บ้างหรือไม่?...

สิ่งใดที่หม่อมฉันปรารถนามิใช่เพชรนิลจินดา แต่คือความรักจากใจของพระองค์




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น